การทำความสะอาดแปรงแต่งหน้าเป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันการสะสมของเชื้อโรคและแบคทีเรีย ซึ่งอาจก่อให้เกิดปัญหาผิวต่างๆ เช่น สิว แพ้ ระคายเคือง เป็นต้น

วิธีทำความสะอาดแปรงแต่งหน้าเพื่อป้องกันเชื้อโรค มีดังนี้

1. เตรียมอุปกรณ์

• น้ำยาทำความสะอาดแปรงแต่งหน้า หรือสบู่เหลว หรือแชมพูเด็ก
• ภาชนะสำหรับล้างแปรง
• น้ำอุ่น
• กระดาษทิชชู่หรือผ้าขนหนู

2. ล้างแปรงด้วยน้ำอุ่น

เทน้ำอุ่นลงในภาชนะสำหรับล้างแปรง จากนั้นนำแปรงมาจุ่มน้ำอุ่นและขยี้เบาๆ เพื่อล้างสิ่งสกปรกออก

3. ทำความสะอาดแปรงด้วยน้ำยาทำความสะอาด

เทน้ำยาทำความสะอาดแปรงแต่งหน้าหรือสบู่เหลวหรือแชมพูเด็กลงในภาชนะสำหรับล้างแปรง จากนั้นนำแปรงมาจุ่มน้ำยาทำความสะอาดและขยี้เบาๆ ประมาณ 1-2 นาที

4. ล้างแปรงด้วยน้ำสะอาด

ล้างแปรงด้วยน้ำสะอาดอีกครั้งเพื่อล้างน้ำยาทำความสะอาดออก

5. ซับแปรงให้แห้ง

ซับแปรงด้วยกระดาษทิชชู่หรือผ้าขนหนูให้แห้งสนิท

6. เก็บแปรงไว้ในที่แห้ง

เก็บแปรงไว้ในที่แห้งเพื่อป้องกันการขึ้นรา

นอกจากนี้ ควรทำความสะอาดแปรงแต่งหน้าเป็นประจำทุกสัปดาห์ หรือบ่อยกว่านั้นหากใช้แปรงบ่อยๆ

เคล็ดลับเพิ่มเติมในการทำความสะอาดแปรงแต่งหน้า

• ควรล้างแปรงแต่งหน้าแยกประเภท เพื่อให้ทำความสะอาดได้อย่างทั่วถึง
• หากแปรงแต่งหน้ามีขนแปรงที่ละเอียดอ่อน ควรหลีกเลี่ยงการใช้น้ำยาทำความสะอาดแปรงแต่งหน้าที่มีส่วนผสมของสารเคมีรุนแรง
• หากแปรงแต่งหน้ามีขนแปรงที่แข็ง ควรใช้แปรงปัดแปรงเบาๆ เพื่อขจัดสิ่งสกปรกออก
• หากแปรงแต่งหน้ามีขนแปรงที่หลุดร่วง ควรเปลี่ยนแปรงใหม่

การทำความสะอาดแปรงแต่งหน้าอย่างสม่ำเสมอจะช่วยปกป้องผิวของคุณจากเชื้อโรคและแบคทีเรีย ช่วยให้ผิวของคุณมีสุขภาพดีและดูสดใสอยู่เสมอ

การลดน้ำหนักถือเป็นกิจกรรมยอดฮิตอย่างหนึ่งของสาว ๆ ที่เมื่อรู้สึกว่าตัวเองมีน้ำหนักส่วนเกินที่มากเกินพอดีก็จะเริ่มปฏิบัติการลดน้ำหนักกันอย่างหนักหน่วง ซึ่งจริง ๆ แล้วการลดน้ำหนักควรทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่รีบร้อนหรือกำหนดระยะเวลาที่สั้นจนเกินไป เพราะอาจจะทำให้ร่างกายของเรารับโปรแกรมเหล่านั้นไม่ไหวและอาจจะเกิดผลข้างเคียงตามมาได้ 

แนะเคล็ดลับการลดน้ำหนักได้แบบง่าย ๆ 

1. ดื่มน้ำเปล่าก่อนรับประทานอาหารประมาณ 30 นาที วิธีนี้จะช่วยให้รับประทานอาหารได้น้อยลง เนื่องจากร่างกายจะไม่รู้สึกว่าหิวมากเท่ากับตอนที่ยังไม่ได้ดื่มน้ำ อีกทั้งการดื่มน้ำเปล่าก็ยังมีข้อดีหลากหลายอย่าง เช่น ช่วยให้ผิวมีความชุ่มชื้นและทำให้ร่างกายได้รับน้ำอย่างเพียงพอตามปริมาณที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน ซึ่งคนส่วนใหญ่มักจะดื่มน้ำไม่ถึงปริมาณที่เหมาะสม 

2. ลดน้ำหวานประเภทต่าง ๆ โดยสามารถเริ่มต้นได้จากการลดความถี่ในการดื่มน้ำหวานลงก่อน อย่างเช่น จากที่เคยดื่มทุกวันก็ให้ลดเป็นอาทิตย์ละ 2 – 3 วัน เป็นต้น ซึ่งถ้าลดปริมาณน้ำตาลหรือความหวานของเครื่องดื่มได้ด้วยก็จะเป็นเรื่องดีมาก เพราะการดื่มน้ำหวานเป็นประจำจะทำให้เกิดน้ำตาลสะสมในร่างกายได้ด้วย และในอนาคตก็จะส่งผลทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ตามมาได้อีกมากมาย

3. ในแต่ละมื้ออาหารควรจะเคี้ยวอาหารให้ละเอียดและเคี้ยวช้า ๆ ไม่รีบรับประทานอาหารและรีบกลืนจนเกินไป เนื่องด้วยการเคี้ยวอาหารให้ละเอียดจะช่วยทำให้ร่างกายดูดซึมอาหารได้ดีมากขึ้น ทั้งยังช่วยให้รู้สึกอิ่มได้เร็วขึ้น ทำให้รับประทานอาหารได้ในปริมาณที่น้อยลงด้วย

4. ลดหรือหลีกเลี่ยงอาหารประเภทของทอดของมัน เพราะจะทำให้เกิดไขมันสะสมภายในร่างกายได้ นอกจากส่งผลทำให้เกิดโรคอ้วนได้แล้วยังเป็นสาเหตุสำคัญของหลาย ๆ โรคอีกด้วย ถ้าสามารถทำได้ควรเปลี่ยนมารับประทานอาหารประเภทที่ใช้น้ำมันน้อยหรือไม่ใช้น้ำมัน อย่างอาหารประเภทตุ๋น ต้มหรือนึ่ง เป็นต้น

5. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอในแต่ละวัน เพราะการที่นอนหลับไม่เพียงพอจะทำให้รู้สึกว่าหิวได้บ่อยกว่าปกติ ปริมาณอาหารที่รับประทานเข้าไปจึงมีปริมาณมากขึ้นตามไปด้วย ซึ่งจะส่งผลทำให้เกิดน้ำหนักที่มากกว่าปกติได้

สำหรับใครที่อยากลดน้ำหนักด้วยวิธีธรรมชาติ ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูง และสามารถทำได้จริงโดยที่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ สามารถนำวิธีที่ได้แนะนำข้างต้นไปปฏิบัติตามกันได้ เพียงแต่ต้องมีวินัยในการปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องจนบรรลุถึงเป้าหมายหรือแพลนที่ได้กำหนดไว้ ถ้าทำได้บอกเลยว่ารูปร่างที่ดีและสมส่วนก็ไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด

เคล็ดลับความงามที่จำเป็นสำหรับเจ้าสาวในวันแต่งงาน ตั้งแต่การแต่งหน้าไปจนถึงการดูแลผิวให้ดูดีตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า การเตรียมตัวสำหรับงานแต่งงานโดยทั่วไปมีขั้นตอนมากมาย เราจะพูดถึง 5 ขั้นตอนสำคัญที่ทำให้คุณสวยมั่นใจและดูดีในฐานะนางเอกของงาน แม้ว่าเจ้าสาวส่วนใหญ่มักจะเน้นไปที่ชุดเจ้าสาว สไตล์ทรงผมและการแต่งหน้าเท่านั้น แต่จริง ๆ แล้วควรดูแลครอบคลุมตั้งแต่เล็บไปจนถึงการดูแลผิวเพื่อให้แน่ใจว่าคุณดูดีและรู้สึกดีที่สุดระหว่างเดินเคียงคู่กับเจ้าบ่าว 

1.เคล็ดลับการดูแลผิว

เจ้าสาวควรดูแลผิวหน้าผิวกายให้สวยใส คิดว่าผิวเป็นเหมือนผืนผ้าใบเปล่า ดังนั้น ก่อนวันแต่งงานต้องเตรียมการดูแลผิวให้แน่ใจว่าใบหน้าสะอาด เน้นความชุ่มชื้นยังเป็นกุญแจสำคัญเพื่อให้ผิวอ่อนนุ่ม ผิวเรียบเกลี้ยงเกลา และใช้ครีมกันแดดด้วย เพื่อความโดดเด่นแต่งหน้าสวย ๆ ในวันสำคัญ ไม่ใช่ผิวเป็นสิวและไม่เรียบจนต้องโบกแป้งหนา ๆ หนัก ๆ 

2.เคล็ดลับการแต่งหน้า

ผลิตภัณฑ์แต่งหน้าไม่ได้มีคุณสมบัติเหมือนกันทั้งหมด ควรเลือกเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่เหมาะกับสภาพผิวของคุณ ส่วนผสมบางอย่าง เช่น กรดไฮยาลูรินิกและเซราไมด์เก็บรักษาน้ำในผิว สำหรับผิวแห้งและผิวที่ขาดความชุ่มชื้น สำหรับเจ้าสาวที่มีผิวแห้งต้องใช้ไพรเมอร์ที่ให้ความชุ่มชื้นเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ทำให้ใบหน้าเป็นขุย ส่วนเจ้าสาวที่มีผิวมันควรหาเครื่องสำอางที่เข้ากับผิวมันโดยเฉพาะ เช่น ใช้เซรั่มเคลือบผิวหรือไพรเมอร์ต่อต้านความมันเพื่อให้แน่ใจว่าผิวกระจ่างใสและปราศจากความมันตลอดวัน 

3.เคล็ดลับการดูแลเส้นผม

เมื่อต้องเตรียมทรงผมสำหรับวันแต่งงาน อย่าทำสีหรือตัดผมเปลี่ยนทรงกะทันหัน เพราะผลลัพธ์ในวันแต่งงานอาจแตกต่างจากที่คุณต้องการในตอนแรก หากคุณต้องเปลี่ยนทรงผมควรแจ้งให้ช่างทำผมทราบและเตรียมตัวล่วงหน้าก่อน หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีรุนแรง ใช้มาสก์ผมและครีมนวดผมอย่างล้ำลึกเป็นประจำเพื่อบำรุงเส้นผมแข็งแรงและเงางาม มีความชุ่มชื้นและสะอาดอยู่เสมอ 

4.เคล็ดลับการดูแลเล็บ

เจ้าสาวส่วนใหญ่มีนัดทำเล็บก่อนวันแต่งงาน แต่หลายคนมักจะลืมขั้นตอนแรกที่สำคัญนั่นคือควรทดลองทำเล็บก่อนเพื่อจะได้รู้สีและความยาวเล็บที่ต้องการจริง ๆ อย่าลืมทาครีมบำรุงผิวมือทุกวันอย่างน้อย 6 เดือนก่อนแต่งงาน ไม่ควรใช้มือทำอะไรรุนแรงเพื่อไม่ให้เล็บแตก หัก หรือหนังกำพร้าแห้ง

5.เคล็ดลับการแต่งหน้า

ในวันแต่งงานจริง ๆ เจ้าสาวส่วนใหญ่ใช้ทริคการแต่งหน้าง่าย ๆ ไม่กี่ข้อ เช่น ทารองพื้นให้ผิวเปล่งประกาย แต่ไม่แวววาวเกินไป สำหรับการถ่ายภาพให้ใช้ไฮไลต์ที่โหนกแก้ม สันจมูก และปลายจมูก หลีกเลี่ยงการใช้ไฮไลต์บนหน้าผากทำให้ดูมันเยิ้มในภาพถ่าย เลือกแป้งโปร่งแสงที่สว่างกว่าสีผิว ใช้แปรงขนนุ่มปัดขอบคิ้วดูเป็นธรรมชาติ สุดท้ายสำหรับการทาลิปสติกใช้ดินสอเขียนขอบปากทั่วริมฝีปากให้ใกล้เคียงกับสีธรรมชาติ

วิธีดีที่สุดควรเริ่มขั้นตอนการดูแลผิวเป็นประจำและทำฟันขาวอย่างน้อย 6 เดือนถึง 1 ปีก่อนการแต่งงาน ดื่มน้ำมาก ๆ หลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟ โซดา หรือแอลกอฮอล์ 1-2 สัปดาห์ พบแพทย์ผิวหนังหากมีสิวหรือโรคผิวหนังอื่น ๆ หากเจ้าสาวสนใจฉีดหรือลอกผิวด้วยสารเคมีควรทำก่อนวันแต่งงานนานกว่า 6 เดือนเผื่อว่าจะเกิดอาการแพ้โดยไม่คาดคิด

โทนเนอร์สำหรับผิว คืออะไร และทำหน้าที่อะไรกันแน่ หลาย ๆ คนก็ยังคงมีข้อสงสัยกันอยู่ว่า จริง ๆ แล้วในขั้นตอนการดูแลและผิวระหว่างวันนั้น จำเป็นต้องใช้โทนเนอร์หรือเปล่า เพียงแค่ล้างหน้าแล้วตามด้วย เซรั่มหรือมอยส์เจอร์ไรเซอร์ ก็น่าจะเพียงพอแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่า คุณอาจจะยังไม่เข้าใจประโยชน์ของโทนเนอร์อย่างแท้จริง 

โทนเนอร์จำเป็นสำหรับขั้นตอนการดูแลผิวประจำวัน เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

โทนเนอร์ เป็นผลิตภัณฑ์ดูแลผิวประเภทมัลติฟังก์ชั่น ที่มีประโยชน์มากกว่าแค่ช่วยเช็ดทำความสะอาดผิวอย่างล้ำลึกหลังการล้างหน้า เพราะหลังการใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้า ผิวของเราจะมีสภาพเป็นด่างอ่อน ๆ อันเนื่องมาจากโดยปกติผลิตภัณฑ์ล้างหน้าจะเป็นสารประเภทอัลคาไลน์หรือเป็นด่าง ดังนั้นหากคุณทาเซรั่มหรือมอยส์เจอร์ไรเซอร์ในตอนนี้ สภาพความเป็นด่างบนผิวหน้า จะทำปฏิกิริยากับตัวผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ซึ่งจะลดประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์บำรุงผิวลง รวมทั้งทำให้เกิดการยับยั้งการซึมผ่านของผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ลงไปใต้ชั้นผิวอีกด้วย 

ดังนั้นโทนเนอร์จึงเข้ามาช่วยเตรียมผิวสำหรับขั้นตอนนี้ โดยโทนเนอร์จะช่วยปรับค่าความเป็นกรดเป็นด่างของผิวให้เป็นกลาง ดังนั้นเมื่อคุณทาเซรั่ม หรือมอยส์เจอร์ไรเซอร์บำรุงผิวหลังการใช้โทนเนอร์ ย่อมจะทำให้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเหล่านี้ สามารถซึมซาบลงไปใต้ชั้นผิวหนังได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดผลลัพธ์ในการช่วยฟื้นบำรุงผิวหน้าได้ดีกว่า

เราควรใช้โทนเนอร์อย่างไร

วิธีการใช้โทนเนอร์นั้นง่ายมาก ๆ เพียงแค่คุณเลือกโทนเนอร์ที่เหมาะกับสภาพผิวของคุณ หลังจากการล้างหน้า ก็ให้คุณใช้โทนเนอร์ก่อนเซรั่มหรือมอยส์เจอร์ไรเซอร์ คุณอาจจะใช้วิธีหยดลงบนแผ่นสำลีจากนั้นซับเบา ๆ ให้ทั่วใบหน้าและลำคอ หรือจะหยดโทนเนอร์ใส่ที่นิ้วมือของคุณโดยตรง แล้วกดซับเบา ๆ ลงบนใบหน้าก็ได้เช่นกัน แถมยังช่วยประหยัดผลิตภัณฑ์ได้ดีอีกด้วย และเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด คุณควรใช้โทนเนอร์ทั้งในตอนเช้าและตอนกลางเย็น ในทุก ๆ วัน แต่การใช้โทนเนอร์หยดลงบนสำลีนั้น จะมีข้อได้เปรียบก็คือ โทนเนอร์จะช่วยขจัดสิ่งสกปรกรวมทั้งผิวหนังที่ตายแล้ว ซึ่งผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดไม่สามารถเข้าถึงได้ ให้ออกมาพร้อมกับแผ่นสำลีได้อีกด้วย ดังนั้นเคล็ดลับของการทำความสะอาดที่หมดจดที่แท้จริงนั้น โทนเนอร์จึงมีส่วนเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 

ดังนั้นเพียงแค่เพิ่มขั้นตอนการใช้โทนเนอร์ลงไปในกิจวัตรการบำรุงผิวประจำวันของคุณ ซึ่งก็ใช้เวลาอีกเพียงแค่เล็กน้อย คุณก็จะได้ผลลัพธ์ของการบำรุงผิวที่เปี่ยมประสิทธิภาพมากกว่าเดิมอย่างแน่นอน และเราขอรับรองว่าโทนเนอร์นั้นจำเป็นจริง ๆ

สาว ๆ ห้ามพลาด สำหรับคนที่ชอบแต่งหน้าไม่ติด เครื่องสำอางหลุดง่าย รองพื้นด่างไม่ติดหน้าฟังทางนี้!! เชื่อว่าหลายคนจะต้องมีฝันร้ายกับการแต่งหน้าที่ไม่ติดทน หลุดระหว่างวันทำให้ผิวหน้าดูไม่สม่ำเสมอ หน้าเยิ้ม รองพื้นย้อย วันนี้เรามีทริคง่าย ๆ ลงรองพื้นอย่างไรให้ติดทนนานชนิดที่ไม่ต้องเติมระหว่างวัน รับรองว่าถูกใจสาว ๆ แน่นอนค่ะ ทริคที่ว่านั้นคืออะไร ถ้าอยากรู้ ตามมาดูพร้อมกันได้เลยค่า

4 ขั้นตอนลงรองพื้นอย่างไรให้ติดนาน

1.ลงสกินแคร์เติมความชุ่มชื่น

อันดับแรก ก่อนการลงรองพื้นไม่ควรปล่อยให้ผิวหน้าสด ๆ ไร้สกินแคร์ปะทะกับรองพื้นโดยตรง เพราะผิวหน้าบางคนอาจมีสภาพผิวที่ยังไม่สมบูรณ์พอที่จะรับกับรองพื้นได้ทันที เช่นผิวแห้ง ผิวผสม อาจทำให้รองพื้นไม่ติดทน หรือไม่ติดหน้าเลยก็ได้เช่นกัน ฉะนั้นก่อนลงรองพื้นทุกครั้งแนะนำว่าควรทาสกินแคร์เพื่อเซตผิวให้พร้อมที่จะรับกับเครื่องสำอาง จะมีส่วนช่วยให้เครื่องสำอางติดทนมากขึ้นนั้นเองค่ะ

2.ลงไพรเมอร์เพื่อเตรียมสภาพผิวให้พร้อม

การลงไพรเมอร์ก่อนแต่งหน้าจะเป็นตัวช่วยให้เครื่องสำอางยึดติดกับผิวได้ยาวนานอีกทั้งยังช่วยให้ผิวสวยเนียนแลดูสุขภาพ ในขั้นตอนนี้นอกจากจะช่วยให้รองพื้นติดทนนานแล้ว การลงไพรเมอร์ยังช่วยในการเบลอรอยสิวเบลอรูขุมขนและหลุมสิว ทำให้ผิวหน้าดูใสเรียบเนียนสม่ำเสมออีกด้วยค่ะ

3.ใช้ฟองน้ำ พัฟหรือมือในการลงรองพื้น

การใช้พัฟหรือนิ้วมือในการลงรองพื้นจะช่วยให้รองพื้นติดทนมากกว่าการใช้แปรงแต่งหน้า โดยเฉพาะการใช้นิ้วมือจะช่วยเกลี่ยและวอร์มรองพื้นให้เข้ากับเนื้อผิวได้เป็นอย่างดี หรืออีกหนึ่งตัวช่วยก็คือฟองน้ำแต่งหน้า หากจะใช้ฟองน้ำแนะนำให้จุ่มน้ำก่อนจากนั้นบิดให้หมาดและนำมาทำการเกลี่ยรองพื้นจะช่วยให้เนื้อรองพื้นเนียนฉ่ำไปกับผิวเลยล่ะค่า

4.ใช้แปรงแต่งหน้าปัดแป้งฝุ่นโปร่งแสงเซตเบา ๆ หรือ ฉีดสเปรย์เพื่อล็อคเครื่องสำอาง

ปิดท้ายด้วยการเซตตัวรองพื้นด้วยแป้งฝุ่นสำหรับคนที่อยากได้งานผิวแบบแมท ให้ใช้แป้งฝุ่นโปร่งแสงเซตบนใบหน้าเบา ๆ ด้วยแปรง ไม่ต้องลงหน้าเพียงแค่ปัด ให้ทั่วใบหน้าบาง ๆ ก็เพียงพอแล้วค่ะ เพราะหากลงแป้งฝุ่นหนาจนเกินไปอาจทำให้เกิดการตกร่องได้ฉะนั้นข้อนี้ควรระวังนะคะ ส่วนใครที่อยากได้ลุคฉ่ำ ๆ แนะนำให้ใช้เป็นสเปรย์น้ำแร่ที่มีส่วนช่วยในการล็อคเครื่องสำอาง ก็จะช่วยให้เครื่องสำอางและรองพื้นติดทนมากขึ้นเช่นกันค่ะ การฉีดสเปรย์ควรถือสเปรย์ให้ห่างจกใบเล็กน้อย เพื่อให้ละอองน้ำกระจายได้ทั่วใบหน้า ไม่ควรฉีดเยอะเกินไปเพราะอาจทำให้รองพื้นไหลก่อนจะเซตตัวได้

การลงรองพื้นและเครื่องสำอาง หากมีทริคดี ๆ ก็จะช่วยให้เครื่องสำอางของเรานั้นติดอยู่บนใบหน้าได้ยาวนานมากขึ้นค่ะ ทุกคนสามารถลองนำทริคในวันนี้ไปลองปรับใช้กันได้ตามความเหมาะสมกันได้เลยแต่ทั้งนี้ทั้งนั้นแล้วการที่เครื่องสำอางจะติดนานไม่นานก็อยู่ที่สภาพผิวหน้าด้วยเป็นหลัก อย่าลืมที่จะดูแลผิวให้มีสุขภาพดีอยู่ตลอดเวลากันด้วยนะคะ หากผิวดีเด้งฉ่ำไม่แห้งกร้าน ไม่มันจนเกินไป รับรองเลยว่าแต่งหน้าออกมาสวยเครื่องสำอางติดทนอย่างแน่นอน

สำหรับปัญหารูขุมขนกว้างเป็นปัญหาที่ใครหลาย ๆ คนมองข้ามเพราะอาจมองว่าเป็นปัญหาที่ไม่สำคัญแต่จริง ๆ แล้วปัญหารูขุมขนกว้างสามารถสะท้อนถึงปัญหาผิวต่าง ๆ มากมายหลากหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นการแต่งหน้าไม่ติดทนนาน การแต่งหน้าไม่เรียบเนียน หน้าดูแก่กว่าวัยและอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งทั้งสาว ๆ และหนุ่ม ๆ ควรที่จะหาทางแก้ไขปัญหาแบบด่วน ๆ จะมีวิธีอะไรบ้างนั้นตามไปรับชมกัน

ล้างและทำความสะอาดผิวหน้าด้วยน้ำเย็นหรือน้ำอุณหภูมิห้อง จะช่วยทำให้รูขุมขนของคุณมีความกระชับขึ้น ใครที่ติดการล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นเป็นประจำทุกวันควรเริ่มที่จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการล้างหน้าก็จะช่วยทำให้รูขุมขนบนผิวหน้าดูกระชับมากยิ่งขึ้น ซึ่งในบางครั้งสามารถที่จะใช้น้ำแข็งมาประคบบริเวณผิวที่มีรูขุมขนกว้าง ถูวนให้ทั่วบริเวณเป็นระยะเวลาประมาณ 20-30 วินาที เมื่อถูเสร็จสามารถที่จะเช็ดทำความสะอาดผิวด้วยน้ำสะอาดอุณหภูมิห้อง ซึ่งไม่ควรที่จะถูนานจนเกินเพราะอาจจะทำให้ ผิวแสบแดงได้ โดยสาว ๆ สามารถที่จะนำเทคนิคนี้ไปใช้ก่อนแต่งหน้าก็จะทำให้ผิวของคุณดูเรียบเนียนขึ้นด้วย

เลือกกระชับรูขุมขนด้วยน้ำมะนาว วิธีการในการทำก็คือ เตรียมน้ำมะนาวคั้นสด หลังจากที่มีการล้างหน้าได้ด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าอย่างสะอาดแล้ว ให้เช็ดผิวหน้าให้แห้งแล้วนำน้ำมะนาวมาทาบาง ๆ บนผิวหน้าบริเวณที่มีรูขุมขนกว้าง ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที ถ้ารู้สึกแสบหรือคันผิวหน้ามากสามารถหลีกเลี่ยงการใช้วิธีนี้ได้ ซึ่งสำหรับวิธีนี้จะช่วยในเรื่องผิวกระจ่างใสด้วยนอกเหนือจากการทำให้รูขุมขนดูเล็กลง

มีการสครับหน้าเป็นประจำสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ข้อดีของวิธีการนี้คือช่วยผลัดเซลล์ผิวหน้าของสาว ๆ ให้หลุดออกอย่างอ่อนโยน อีกทั้งยังช่วยลดการอุดตันบริเวณผิวหนังด้วย ซึ่งการที่มีสิ่งอุดตันที่ผิวมาก ๆ นั้นก็ส่งผลให้รูขุมขนขยายตัวออกได้เช่นกัน โดยเมื่อสครับผิวแล้วให้ล้างออกอย่างเบามือด้วยน้ำสะอาด จะรู้สึกว่าผิวสะอาด กระชับ มีความเนียนนุ่มมากขึ้น

หลีกเลี่ยงอาหารมัน ของทอดต่าง ๆ ที่อาจ่อให้เกิดไขมันสะสมที่บริเวณรูขุมขน โดยถ้าหากว่ามีไขมันอุดตันที่รูขุมขนเยอะก็จะส่งผลให้รูขุมขนของเราดูกว้างขึ้น

ชอบวิธีไหนแก้ปัญหารูขุมขนกว้างวิธีการไหนกันบ้าง แต่ละวิธีนั้นใช้งบประมาณในราคาที่ไม่สูงและสามารถทำได้ง่าย เพียงปรับเปลี่ยนการดูแลตนเองในชีวิตประจำวัน มีความสม่ำเสมอในการดูแลผิว ปัญหารูขุมขนกว้างก็สามารถดีขึ้นได้อย่างแน่นอน

หุ่นสวยสุขภาพดีแบบลีน ๆ ออกแนวนักกีฬาหน่อย ๆ ถือว่าเป็นเป้าหมายของสาว ๆ หลายคน ที่ต่างก็อยากมีหุ่นดี ๆ เอาไว้อวดเพื่อน ๆ แถมกับสุขภาพดีที่ช่วยให้การใช้ชีวิตเขาเรามีความสุขได้มากขึ้น แต่แน่นอนว่าปัญหาของเรื่องนี้ก็คือการทำหุ่นให้สวยลีนได้อย่างที่ต้องการนี่แหละที่เป็นเรื่องยาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เสียทีเดียว ถ้าเรามีการวางสเตปของการเริ่มต้นทำหุ่นสวยอย่างถูกต้อง

การวางแผนเป็นเรื่องสำคัญ

เป้าหมายต้องชัดเจน การสร้างหุ่นลีนสวย ๆ นั้น ถ้าอยากจะทำให้เป้าหมายที่เราต้องการให้เป็นจริงได้ สิ่งแรกที่สาว ๆ จะต้องทำก็คือการวางเป้าหมายที่ชัดเจนเสียก่อน ซึ่งลำพังแค่จะบอกว่าอยากได้หุ่นสวย ลีน หรือมีหน้าท้องที่ดูแบนราบ แค่นั้นบอกเลยว่ายังไม่พอ เราจำเป็นที่จะต้องวางเป้าหมายให้ชัดมากกว่านั้น เช่น ตั้งใจจะลดน้ำหนักให้ได้เท่าไร ภายในระยะเวลาเท่าไร หรือต้องการที่จะลดสัดส่วนไขมันให้เหลือเท่าไร

วางแผนออกกำลังกายและอาหารให้ดี นอกจากเป้าหมายสุดท้ายปลายทางที่หุ่นเพรียวลีนสมใจแล้ว อีกเรื่องที่เราต้องวางแผนให้ดีก็คือเรื่องของตารางการออกกำลังกายและอาหารการกินของเรา เพราะสองเรื่องนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องทำคู่กันอย่างจริงจังมาก ๆ อย่างน้อย ๆ เราควรจัดสรรเวลาให้กับการออกกำลังกายวันละ 30 นาที ส่วนเรื่องของอาหารให้เลือกกินหน่อย ลดหวาน ลดมัน ของทอดนี่โบกมือลาไปได้เลย

สเตปปฏิบัติที่ท้าทายแต่เป็นไปได้

เริ่มจากง่ายไปยาก มาถึงส่วนที่เป็นสเตปของการออกกำลังกาย อัปหุ่นให้สวย ขั้นตอนแรกคือต้องทำความเข้าใจก่อนว่า เราไม่สามารถที่จะเริ่มต้นด้วยการเข้าคลาสออกกำลังกายแบบหนัก ๆ ได้ เพราะความหนักและยากนั้นจะพาลทำให้เราถอดใจไปก่อน วิธีที่ดีที่สุดคือการเริ่มต้นจากเรื่องง่าย ๆ เช่น การเดินวันละ 30 นาที ขยับมาเดินเร็ว แล้ววิ่ง เป็นต้น

ความสม่ำเสมอคือหัวใจสำคัญ ไม่มีอะไรจะทำให้เป้าหมายของเราสำเร็จไปได้หากเราขาดความสม่ำเสมอ ถ้าอยากได้หุ่นสวยอย่างใจ ตามเป้าหมายที่วางไว้ สิ่งที่สาว ๆ ห้ามทำก็คือการขาดวินัยในการออกกำลังกายและการกิน ถ้าหลุดหรือหยุดทำ รับรองเลยว่างานนี้พังแน่

เพราะการมีรูปร่างที่ดีนั้นนอกจากจะช่วยเรื่องของความสวยความงามแล้ว ก็ยังส่งผลต่อสุขภาพและการใช้ชีวิตของเราด้วย มาเริ่มต้นดูแลตัวเองด้วยสเตปง่าย ๆ ทั้งการออกกำลังกายและการเลือกกินอาหารให้เป็น ประเด็นสำคัญก็คือความตั้งใจและวินัยที่จะช่วยให้เราทำได้ตามเป้า

หากพูดถึงสมุนไพรไทย เชื่อว่าหลายคนน่าจะนึกถึงนานาประโยชน์ โดยเฉพาะประโยชน์ด้านสุขภาพ แต่ทราบหรือไม่ว่านอกจากสมุนไพรจะขึ้นชื่อเรื่องประโยชน์ต่อร่างกายแล้วยังมากด้วยประโยชน์ด้านความงาม จึงไม่น่าแปลกใจนักที่ผลิตภัณฑ์เพื่อความงามหลายยี่ห้อเลือกนำสมุนไพรไทยมาเป็นส่วนประกอบในการผลิตผลิตภัณฑ์เพื่อความงาม เนรมิตความสวยตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า

แนะนำ 5 สมุนไพร ที่สายบิวตี้ต้องชอบ

1. ว่านหางจระเข้ : หากพูดถึงสมุนไพรที่ถูกนำมาผลิตเป็นผลิตผลิตภัณฑ์เพื่อความงาม ชื่อที่มักได้ยินบ่อย ๆ นั่นคือ ว่านหางจระเข้ เพราะมาพร้อมคุณประโยชน์มากมาย มีคุณสมบัติช่วยสมานแผลทำให้แผลหายเร็วยิ่งขึ้น ลดอาการผิวไหม้ มอบความชุ่มชื้น ปลอบประโลมผิวจากการถูกแสงแดดทำร้าย หรือหากนำวุ้นว่านหางจระเข้มาปั่นและชโลมทั่วเส้นผมและหนังศีรษะยังช่วยขจัดรังแคและทำให้เส้นผมเงางาม
2. ใบบัวบก : สายบิวตี้หลายคนอาจคุ้นเคยว่าน้ำใบบัวบกลดอาการฟกช้ำ แต่ทราบหรือไม่ว่าใบบัวบกยังถูกนำมาใช้ประโยชน์ด้านความงามได้ด้วย เพราะมีส่วนช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนบนผิวหนัง ลดเลือนริ้วรอย ทำให้ผิวดูอ่อนกว่าวัย หรือบางคนอาจนำน้ำใบบัวบกมาหมักผม ช่วยลดผมหงอก เส้นผมดกดำและเงางาม
3. มะกรูด : สมุนไพรขึ้นชื่อด้านการช่วยลดอาการคันหนังศีรษะและบำรุงผมให้เงางามดูสุขภาพดี เพราะมะกรูดอุดมด้วยวิตามินเอ อีกทั้งยังมีวิตามินซีและกรดอ่อน ๆ จากธรรมชาติจึงสามารถนำมาผสมน้ำเปล่าและปั่นรวมกับไข่ขาวเพื่อนำมาพอกหน้า ลดความมัน เนรมิตผิวกระจ่างใส
4. ขมิ้น : นับเป็นสมุนไพรที่โดดเด่นเรื่องความสวยความงามไม่แพ้สมุนไพรประเภทอื่น ๆ จึงมักถูกนำมาเป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวพรรณ เพราะมีคุณสมบัติช่วยลดผดผื่นคัน ฆ่าเชื้อราบางชนิดบนผิวหนัง เมื่อนำมาขัดผิวจะทำให้ผิวเรียบเนียน ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใส ใช้ได้ทั้งผิวหน้าและผิวกาย ที่สำคัญมาพร้อมราคาประหยัด เสกผิวสวยเนียนใสได้โดยไม่เปลืองงบประมาณในกระเป๋า
5. สะเดา : สะเดาไม่ได้เป็นเพียงสมุนไพรที่นิยมนำมาทำอาหารเท่านั้น เพราะแท้จริงแล้วยังมากด้วยประโยชน์ด้านความงาม สามารถนำมาปรนนิบัติความสวยได้ทั้งเส้นผมและผิวกาย สำหรับเส้นผมสามารถนำใบสะเดามาต้มและหมักเพื่อลดอาการคันและรังแค สำหรับผิวกายมักถูกนำมาผสมในผลิตภัณฑ์เพื่อความงาม เพราะมีคุณสมบัติช่วยลดรอยแดงและการเกิดสิว

ใครเป็นสายบิวตี้ที่ต้องการดูแลความงามแบบประหยัด อย่าลืมเลือกใช้สมุนไพรไทยเป็นตัวช่วยปรนนิบัติความงาม ซึ่งสมุนไพรแต่ละประเภทมาพร้อมจุดเด่นแตกต่างกัน แต่หากไม่สะดวกหรือยุ่งยาก ปัจจุบันก็มีผลิตภัณฑ์เพื่อความงามหลายยี่ห้อที่เลือกสมุนไพรเหล่านี้มาเป็นส่วนประกอบในการผลิต ช่วยให้คุณดูแลความงามแบบศีรษะจรดปลายเท้าได้อย่างสะดวกสบายยิ่งขึ้น

“คนจะงาม งามที่ใจ ใช่ใบหน้า” เพราะความงามที่แท้จริงมักจะมาจากก้นบึ้งของหัวใจเสมอ แม้หลายคนอาจจะเถียงหัวชนฝาว่าในปัจจุบันเค้าพึ่งพาการทำศัลยกรรมกันหมดแล้ว ต้องผิวขาว จมูกคม นมโต คางแหลมเท่านั้นจึงจะเป็นความสวย ในยุคที่ค่านิยมที่ผิดเพี้ยนเฉกเช่นในปัจจุบันนี้ แต่ใครเลยจะรู้ว่าเบื้องหลังความสวยเหล่านั้นเจ็บปวดขนาดไหน ไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายในการศัลยกรรม, บาดแผลจากคมมีดและความเสี่ยงต่อการเสียโฉมไปตลอดชีวิตหากเจอหมอหรือสถานเสริมความงามเถื่อน ในขณะที่ความงามที่มาจากข้างในไม่ต้องปรุงแต่งใด ๆ ที่ทุกคนสามารถทำได้และควรทำ

ยอมรับในหน้าตาและอายุของตนเอง

รูปร่างหน้าตาไม่ได้เป็นกรอบจำกัดความสามารถ เพราะหลายต่อหลายคนบนโลกใบนี้แสดงให้เห็นแล้วว่าการที่จะเป็นคนดังและได้รับการยอมรับไม่จำเป็นต้องหล่อ สวย เสมอไป เพราะเค้าแข่งกันที่ความสามารถและความสุขในทุก ๆ วันมากกว่า แม้ว่าหน้าตาจะเป็นส่วนแรกที่จะทำให้คนอื่น ๆ เห็นและประทับใจก็ตาม

รักและภูมิใจในสิ่งที่ตนเองเป็นและมีอยู่

เชื่อว่ามากกว่า 90% ทุกคนต้องอยากมีอยากได้ อยากแสดงให้คนเห็นว่าฉันเลิศ ฉันมีดีแค่ไหน แต่เบื้องหลังต้องปากกัดตีนถีบ ยอมเป็นหนี้ หลอกลวงและโกงคนอื่นเพื่อให้ได้สิ่งที่ตนเองปรารถนา ซึ่งความสุขแบบนี้มันเป็นความสุขจอมปลอม เพราะสุดท้ายแล้วยิ่งทำให้ตนเองเป็นทุกข์ ตกเป็นหนี้ ต้องหนีหนี้ โดนตาม โดนทวงตลอดเวลา ไร้ซึ่งความสุข อยู่แบบหวาดระแวง แต่ถ้าคุณพอใจในสิ่งที่คุณมีและเป็นอยู่ก็จะทำให้คุณมีความสุข ไม่ต้องอยู่แบบหวาดระแวง ใช้จ่ายเท่าที่มี ขาดก็หาเพิ่ม เหมือนที่หลายคนนำมาเป็นตัวอย่างเปรียบเทียบกันระหว่าง คนที่มีกระเป๋ามูลค่า 25,000 แต่มีเงินในกระเป๋า 500 ในขณะที่อีกคนมีกระเป๋าใบละ 500 แต่มีเงินสดในกระเป๋า 25,000 เป็นคุณจะเลือกแบบใด

ยอมรับในความต่าง

เป็นเรื่องปกติของธรรมชาติที่สร้างความแตกต่างให้แก่โลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นรูปร่าง หน้าตา ความคิดและสติปัญญา ไม่มีใครเกิดมาได้สมบูรณ์แบบ เพราะขนาดพี่น้องกันแท้ ๆ ยังมีจุดที่แตกต่างกันเลย หากคุณไม่ยึดติด และยอมรับในความแตกต่างนี้ได้ ก็จะมีความสุข อย่าลืมว่าหากทุกสิ่งบนโลกเหมือนกันหมด ทุกคนรสนิยมตรงกันหมด ก็คงจะต้องแก่งแย่งกันมากกว่านี้แน่นอน คนเราจึงมีความสวยความหล่อในแบบฉบับตนเอง ไม่ต้องไปเปรียบเทียบกับใคร

ทัศนคติที่ดีต่างหากที่สวยงาม

การมีความคิดและจิตใจที่ดี เป็นความงามที่แท้จริงและมาจากก้นบึ้งของหัวใจโดยแท้ หลายคนคงเคยมีประสบการณ์ในการเผชิญปัญหาต่าง ๆ ซึ่งสถานการณ์เหล่านั้นจะแสดงให้เห็นว่าคนรอบข้างคุณเป็นแบบไหน โดยเฉพาะสถานการณ์ที่แย่ที่สุดที่คุณกำลังเผชิญ หากเป็นคนที่มีทัศนคติที่แย่ นอกจากจะไม่ช่วยแล้วอาจซ้ำเติมคุณก็เป็นได้ ส่วนคนที่มีทัศคติที่ดีนอกจากจะช่วยเหลือแล้วยังให้กำลังใจและฉุดคุณขึ้นมาจากวังวนที่เลวร้ายเหล่านั้นและชี้ให้เห็นถึงแสงสว่างที่รอคุณอยู่

ปล่อยวาง

หลักการสร้างทัศนคติที่ดี สิ่งแรกคุณต้องรู้จักการปล่อยวางเสียก่อน โดยเฉพาะในสังคมปัจจุบันที่มีแต่คนแซะ ถากถาง ทับถม หากคุณไม่ปล่อยวางก็จะทำให้เป็นทุกข์ แต่ถ้าคุณปล่อยวางและอดทนต่อคำดูถูกดูแคลน มุ่งมั่นที่จะเอาชนะด้วยการกระทำเพื่อแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในตัวคุณ จงเก็บคำดูถูกเหล่านั้นมาเป็นแรงผลักดันให้คุณประสบความสำเร็จ

ความงามที่แท้จริงไม่ใช่งามที่ใบหน้าเสมอไป หากแต่เป็นความคิด ทัศนคติที่ดี มีพฤติกรรมที่ดี ยอมรับในความต่างและยอมรับในตัวตนของตัวเองต่างหากจึงเป็นความงามอย่างแท้จริง